Chapter 4
///// Jellal /////
“หา!! นี่นายรู้จักยัยเรนะของฉันด้วยเหรอ” เอลซ่าโวยวายขึ้นเมื่อผมเล่าเรื่องบางอย่างให้เธอฟัง
“จะพูดแบบนั้น ก็คงใช่ล่ะมั้ง
เพราะคนที่ให้ความช่วยเหลือฉันหลังจากแหกคุกออกมาก็คือคุณแม่ของมาสเตอร์มาคารอฟ” ผมเล่าให้ผู้หญิงขี้ตกใจข้างๆฟัง
จะมีสักกี่คนกัน
ที่จะได้เห็นจอมเวทย์หญิงที่แข็งแกร่งที่สุดของแฟรี่เทล ทำหน้าตกอกตกใจ
แล้วก็โวยวายเป็นเด็กๆแบบนี้
ผมมองหน้าเหวอๆของเธอแล้วก็เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“หัวเราะมากมีปัญหาเหรอคะ คุณเจราล” แต่ถึงยังไงราชินีแห่งภูติอย่างเธอก็ยังไม่ละทิ้งความโหด
แม้แต่ตอนอยู่กับผม ….
“เปล่าคร้าบบ”
คงจะยาก
ถ้าจะให้ผมหยุดยิ้ม เวลาที่มีเธออยู่ข้างๆ
เอลซ่าขมวดคิ้วกับท่าทางของผม
ก่อนจะพูดว่า
“แล้วมันมีอยู่จริงๆเหรอ โลกมังกรอะไรนั่นน่ะ”
“ฉันก็ไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเองหรอกนะ
เรื่องนี้เธอคงต้องไปถามเรนะเอาเองแล้วล่ะ”
โลกมังกร
คือสถานที่ที่เรนะไปๆมาๆตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ตอนที่ผมรู้เรื่องนี้ทีแรกก็ตกใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
“ไม่อยากจะเชื่อเลย
ว่าเรนะจะกลายเป็นดราก้อนสเลเยอร์อีกคน” เอลซ่าพูดอย่างทึ่งๆ
“ที่สำคัญ เป็นดราก้อนสเลเยอร์แห่งแสง
ธาตุที่เป็นเหมือนเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเซเรฟ”
ผมย้ำความจริงในข้อนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งผมและมาสเตอร์มาคารอฟที่รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีเป็นกังวล
ผมย้ำความจริงในข้อนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งผมและมาสเตอร์มาคารอฟที่รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีเป็นกังวล
“ฝ่ายตรงข้าม…” เอลซ่าทำท่าเหมือนใช้ความคิด
“ใช่
เพราะงั้นยัยเด็กนั่นอาจมีอันตรายถ้ายังอยู่ตามลำพังแบบนั้นต่อไป
ฉันเลยบอกมาสเตอร์ของพวกเธอให้พามาที่แฟรี่เทล เพราะอย่างน้อยถ้ายัยนั่นอยู่ที่นี่
ก็น่าจะพอมีพวกพ้องที่คอยเป็นหูเป็นตาแทนได้บ้าง”
“ฉันนึกว่าสาเหตุที่เรนะกลับมาที่แฟรี่เทลเพราะอยากเจอเจ้าเกรย์ซะอีก” เอลซ่ากอดอกพลางขมวดคิ้ว
“เรื่องนั้นฉันไม่รู้นะเอลซ่า
อาจจะเป็นเหตุผลส่วนตัวของเรนะก็ได้ แต่ตอนที่ฉันพบกับเธอเมื่อ 6 ปีก่อน ฉันรู้สึกได้เลยว่าแววตาของเด็กคนนี้มีแต่ความเศร้า” ผมเอ่ยขึ้นพลางนึกถึงใบหน้าเศร้าๆของเรนะเมื่อตอนที่ผมพบเธอครั้งแรก
“นั่นก็คงเป็นเพราะเกรย์อีกนั่นแหละ” เอลซ่าถอนหายใจ ก่อนจะพูดต่อว่า
“แต่ถึงอย่างนั้น
ที่เกรย์ทำไปทั้งหมดก็เพื่อเรนะนั่นแหละ ฉันว่าคนที่เจ็บปวดที่สุดคงจะเป็นเจ้านั่นมากกว่า
ตั้งแต่วันนั้น เกรย์ก็ปิดตายหัวใจตัวเอง
จนฉันกลัวว่าสักวันหมอนั่นจะกลายเป็นคนไร้ความรู้สึกไปซะจริงๆ”
“ทำไมทุกคนบนโลกนี้ ถึงต้องเจ็บปวดเพราะความรักนะ” ผมพูดขึ้นเมื่อย้อนนึกถึงเรื่องของตัวเองกับคนข้างๆ
“ถึงมันจะน่าเศร้า แต่ก็มีข้อดีไม่ใช่เหรอ”
เอลซ่าค่อยๆเอนหัวตัวเองมาพิงไหล่ผม
เอลซ่าค่อยๆเอนหัวตัวเองมาพิงไหล่ผม
“เพราะมันเป็นสิ่งย้ำเตือนว่าอย่างน้อย
เราก็รู้จักกับคำว่า รัก”
เธอเอื้อมมือมาจับมือผม
สัมผัสของเธอช่างอบอุ่น จนผมไม่อยากจะปล่อยมือนี้ไปไหนอีกเลย
“เมื่อไหร่เราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกนะเจราล” เอลซ่ากุมมือผมไว้แน่น
กลิ่นหอมของเธอช่างดึงดูดผมได้อย่างน่าประหลาด
มันทำให้ผม
รู้สึกว่าไม่อยากจะปล่อยเธอไปไหนอีกแล้ว อยากให้เธออยู่ข้างกายผมแบบนี้ตลอดไป
“นายในตอนนี้
ไม่จำเป็นต้องหลบๆซ่อนๆอีกแล้วไม่ใช่เหรอ ตั้งแต่ที่นายมีส่วนช่วยเหลือผู้คนใน Grand Magic Game นั่น นายก็พ้นโทษแล้วไม่ใช่เหรอเจราล” น้ำเสียงของเธอดูเศร้าลงจนผมจับความรู้สึกได้
“เอลซ่า....” ผมเรียกชื่อเธอเบาๆ
ก่อนจะพูดต่อว่า
“ถึงฉันจะพ้นโทษ แต่ความผิดที่ฉันเคยทำไว้กับเธอ
กับพวกพ้อง มันยังคงอยู่นะเอลซ่า
ฉันไม่อยากทำให้คนที่อยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องต้องมัวหมอง
เพราะมายุ่งเกี่ยวกับคนไม่ดีอย่างฉัน”
ความผิดที่ผมเคยทำไว้ในอดีต
มันไม่อาจลบล้างไปได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะทำเรื่องดีๆทดแทนแค่ไหน เพราะผมเองนี่แหละ
ที่รู้ดีอยู่แก่ใจ....ว่าที่ผ่านมาเคยทำเรื่องเลวร้ายอะไรไว้บ้าง
“ฉันไม่สนใจ
ฉันไม่สนใจว่านายเคยเลวร้ายแค่ไหนนะเจราล เพราะสำหรับฉันตอนนี้มันไม่สำคัญเลย” เอลซ่าดึงผมเข้าไปกอดไว้แน่น ผมสัมผัสได้ถึงมือที่สั่นเทาของเธอ
นี่ผม…ทำให้เธอร้องไห้อีกแล้วเหรอ
“นะเจราล…..” เธอสะอึกสะอื้นเบาๆ
ด้านที่อ่อนแอของเอลซ่า
คงมีแต่ผมใช่มั้ย ที่ได้เห็นมันบ่อยขนาดนี้
เธอค่อยๆผละออกจากผม
ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“มาสเตอร์เคยพูดว่า ที่แฟรี่เทลเป็นบ้านของคนที่อยู่ตัวคนเดียว
คนที่ต้องการพวกพ้อง และเด็กที่ไม่มีที่ไป รวมถึงคนผิดที่คิดจะกลับตัว” พูดจบเธอก็ส่งยิ้มให้ผม
ผมสีแดงเพลิงของเธอเมื่อต้องกับแสงจันทร์มันดูสวยงามอย่างบอกไม่ถูก
ผมเองก็รู้ว่าที่แฟรี่เทลเป็นที่ที่ดี
.... ที่ที่มีพวกพ้องที่จริงใจคอยอ้าแขนต้อนรับอยู่
ไม่งั้นผมคงไม่เลือกให้ที่นั่นเป็นเกราะกำบังเรนะจากเซเรฟหรอก
ไม่รู้ว่าเอลซ่าหรืออะไรที่เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมยอมพูดคำๆนี้ออกไป
“แล้วฉันจะลองคิดดู” ผมพูดพร้อมกับเงยหน้ามองดวงดาวที่อยู่บนฟากฟ้า
ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากอยู่ข้างๆเธอแบบนี้หรอกนะ
แต่ผม….ละอายใจ
เกินกว่าที่จะเก็บคนดีๆอย่างเธอไว้ข้างๆ คนไม่ดีอย่างผม
///// Rena /////
เช้านี้
ท้องฟ้าที่แมกโนเลียช่างสดใส ฉันเดินทอดน่องมาตามริมแม่น้ำ
เพื่อมุ่งหน้าไปยังกิลด์
เมื่อคืนนี้หลังจากที่เกรย์ขนข้าวของมาให้ที่บ้านเช่า
เขาก็กลับออกไปทันทีโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ
ฉันล่ะอยากรู้จริงๆเลยนะเกรย์
ว่านาย อมอะไรอยู่
ทำไมเวลาจะพูดกับฉันแต่ละคำมันถึงได้ยากเย็นนักนะ เชอะ!!
ทำไมเวลาจะพูดกับฉันแต่ละคำมันถึงได้ยากเย็นนักนะ เชอะ!!
มันน่าน้อยใจนัก T^T
แต่เอาเถอะ
จะยังไงก็ตามวันนี้ฉันยกโทษให้นายก็ได้ เพราะเห็นว่าอากาศดีหรอกนะ (เกี่ยว?)
วันนี้ฉันตั้งใจเอาไว้แล้ว
ว่าจะค่อยๆสานความสัมพันธ์กับเกรย์ ถึงเขาไม่คิดจะญาติดีกับฉันก็เถอะ
จะว่าฉันเข้าข้างตัวเองก็ได้นะ
แต่เพราะเรื่องเมื่อวานล่ะมั้ง เลยทำให้ฉันเลยแอบคิดไปว่า
ยังมีเกรย์คนเดิมอยู่ในตัวอีตาน้ำแข็งเดินได้คนนี้
ฉันยกมือข้างขวาซึ่งมีสัญลักษณ์ของกิลด์แฟรี่เทลประทับอยู่ขึ้นมามอง
มันเป็นสีชมพู สีเดียวกับผมของฉัน
สีชมพูงั้นเหรอ....จะว่าไปก็คิดถึงเรื่องเมื่อตอนนั้นเหมือนกันนะ
//////// ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ////////
หลังจากที่ฉันมาอาศัยอยู่กับคุณปู่ที่แมกโนเลีย
ท่านก็พาฉันมาที่แฟรี่เทล .... มารู้จักกับทุกๆคนที่นี่
และนั่นก็เป็นวันแรกที่ฉันได้พบเกรย์
เด็กผู้ชายที่ชอบถอดเสื้อผ้า และชอบทำตาขวาง
ดูๆไปเกรย์ในตอนนั้น....ไม่น่าเข้าใกล้เลยนะ
“หวัดดีจ้ะ ฉันชื่อคานะ นะ เธอชื่ออะไรเหรอ” เด็กผู้หญิงที่ท่าทางจะโตกว่าฉันสักปีสองปี เดินเข้ามาทักทายฉัน
“อะ....เอ่อ...ฉันชื่อ เรนะ จ้ะ” ฉันตอบอย่างตะกุกตะกักที่สุด
เพราะยังไม่ชินกับที่ที่มีคนแปลกหน้าเต็มไปหมดแบบนี้
“เรนะจัง...ต่อไปนี้เรามาเป็นเพื่อนกันนะ” คานะยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะยื่นมือออกมาให้ฉันจับ
ฉันมองเธออย่างงงๆแต่ก็อดที่จะยื่นมือออกไปจับมือของเธอไม่ได้
“จ้ะ” ฉันยิ้มตอบ
จะว่าไป ....
ที่แฟรี่เทลก็มีคนที่น่าคบหาอยู่เหมือนกันนะ
“เกรย์!!” คานะตะโกนเรียกใครอีกคน ที่นั่งอยู่บนโต๊ะที่ห่างออกไปแถวสองแถว
“นายไม่คิดจะมาทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่หน่อยเหรอไง”
เกรย์คือเด็กผู้ชายที่มีผมสีดำ
กับดวงตาสีน้ำเงินเข้ม ตอนนี้เขาสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีดำ
“มันจำเป็นด้วยเหรอไง” เกรย์ใช้สายตาขวางๆของเขามองมาทางฉัน
หวายยยยยยย
น่ากลัวเป็นบ้า T^T
มันไม่จำเป็นจ้า ไม่จำเป็นเลย
คานะจังอย่าไปรบกวนเขาสิ
ยังไม่ทันที่ฉันจะหันไปบอกคานะ
คานะก็วิ่งไปข้างหลังเกรย์ ก่อนจะเขกกะโหลกเขาดัง
โป๊กกก!!!
เสียงมันดังใช่ย่อยเลยนะนั่น
นี่ทำเอาคนแทบทั้งกิลด์หันมามองเลยนะ
“คานะจัง” ฉันรีบเดินเข้าไปห้ามคานะ
“โอ๊ยยย!! เจ็บนะยัยปีศาจ” เกรย์ไม่เพียงลุกพรวดขึ้นแล้วโวยวาย
แต่เขายังถอดเสื้อของตัวเองเขวี้ยงทิ้งไปที่ไหนไม่รู้อีกด้วย
><” กรี๊ดดดด
เขาทำบ้าอะไรน่ะ
“ก็เขกให้เจ็บน่ะสิเจ้าบ้า
เรนะเป็นเพื่อนใหม่ของเรานะ” คานะแทบจะพ่นไฟใส่เกรย์
อ๋า .... ใจเย็นๆก็ได้
คานะ (´_`。)
“แล้วมันยังไงเล่า!!” เกรย์ยิ่งโวยวาย
อะไรกัน...ตอนแรกฉันนึกว่าเขาจะเป็นคนเงียบๆ
น่ากลัวๆซะอีก แต่จริงๆแล้ว เกรย์นี่ขี้โวยวายใช้ได้เลยแฮะ
“แล้วจะถอดเสื้อหาพระแสงอะไรล่ะยะ!!” คานะฟาดเกรย์ให้อีกป้าบใหญ่
อ่า....ฉันล่ะกลัวเขาจะช้ำในตายจริงๆ
คานะนี่แรงเยอะชะมัด
“เห้ยยยย!!” เกรย์ดูท่าจะตกใจที่เห็นตัวเองโป๊ท่อนบน
อะไรกัน
นี่อย่าบอกนะว่า นายถอดเสื้อโดยที่ไม่รู้ตัวน่ะ ><”
“รีบใส่เสื้อซะสิย้า อายเรนะบ้างมั้ยห๊ะ!!” คานะยืนเท้าเอวแล้วส่งเสียงแว๊ดๆ
เกรย์มองมาทางฉัน
แล้วหน้าแดง ก่อนจะรีบคว้าเอาเสื้อตัวเองมาใส่อย่างรวดเร็ว
“อะ...เอ่อ หวัดดี ฉันชื่อเกรย์นะ” เขาพูดกับฉัน แต่กลับมองแต่พื้น
สังเกตว่าหน้าเขาก็ยังแดงเรื่อๆอยู่เลยนะ
“หวัดดีจ้ะ” ฉันยิ้มให้เขา ^^
ดูเหมือนฉันจะทำให้เกรย์ทำตัวไม่ถูกแฮะ เพราะเขาเอาแต่ยืนเกาหัวตัวเองแกรกๆอยู่นั่นแหละ
ดูเหมือนฉันจะทำให้เกรย์ทำตัวไม่ถูกแฮะ เพราะเขาเอาแต่ยืนเกาหัวตัวเองแกรกๆอยู่นั่นแหละ
“อะ .... เอ่อ.... ผมเธอ....สีสวยดีนะ” เกรย์พูดไปหน้าแดงไป
แต่ก็เพราะคำพูดของเขานั่นแหละที่ทำให้ฉันหน้าแดงตามไปด้วย >////<
///// กลับมาปัจจุบัน /////
ฉันเอามือจับผมตัวเองที่วันนี้ถูกปล่อยลงมาให้ปลิวตามสายลม พลางนึกถึงใบหน้าของใครบางคนเมื่อในอดีต
“นายจะยังชอบสีผมแบบนี้อยู่มั้ยนะ.......เกรย์”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น